ผิวของเรามีกี่ประเภท และมีวิธีดูอย่างไร?
โดยปกตินั้นเราสามารถแบ่งประเภทของผิวตามสภาพและลักษณะ ได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ ผิวแห้ง (Dry Skin) , ผิวมัน (Oily Skin) , ผิวผสม (Combination Skin) และผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin) จากการศึกษาแต่ละประเภท
พบว่าคนเราจะมี ผิว แบบไหนนั้นถูกกำหนดจากปัจจัยร่วมระหว่างการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมและปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกของแต่ละบุคคล ทำให้เกิดเป็นประเภทผิวที่แตกต่างกันออกไป การเรียนรู้ผิวแต่ละประเภทนั้นมีความสำคัญ
อย่างมาก เพราะจะทำให้เรารู้จักแยกแยะสภาพผิวแบบต่างๆ และเลือกวิธีการดูแลบำรุงรักษาผิวแต่ละประเภทได้อย่างถูกวิธี เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพพื้นฐานของผิวแต่ละแบบ ทำให้เราสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ตอบโจทย์ความ
ต้องการของสภาพผิวแบบต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
โดยแบ่ง ประเภทของผิว ออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. ผิวแห้ง (Dry Skin)
ผิวแห้งเป็นผิวที่มีลักษณะละเอียดบอบบางและเกิดริ้วรอยได้ง่าย เป็นผิวที่มีความมันน้อยกว่าปกติเนื่องจากขาดกรดไขมันในผิวที่จำเป็นในการรักษาความชุ่มชื่นและ
สร้างเกราะป้องกันผิวจากสิ่งกระทบจากภายนอก ทำให้ผิวมีการผลิตน้ำมันตามธรรมชาติจากต่อมไขมันใต้ผิวที่น้อยกว่าปกติ เมื่อมีน้ำมันในผิวไม่เพียงพอที่จะสามารถ
ป้องกันการสูญเสียน้ำของผิวได้ จึงทำให้ผิวแห้งกร้านและแลดูหมองคล้ำได้ง่าย
ลักษณะของผิวแห้งที่สามารถสังเกตได้ชัดเจนก็คือ
- ผิวจะมีลักษณะแห้ง หยาบกร้าน ไม่กระจ่างใส
- มีแนวโน้มแพ้ง่าย มีผื่นแดงหรือรอยแดงที่ผิว
- มีอาการตึงผิว ผิวแตก หรืออาจมีการอักเสบและมีอาการคันได้ง่าย
- ผิวแลดูขาดน้ำ มีความยืดหยุ่นน้อย และผิวลอกเป็นขุยได้ง่าย
แต่อย่างไรก็ตามผิวแห้งก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างคือ ผิวแห้งจะมีรูขุมขนเล็กละเอียดทำให้ผิวแลดูเรียบ ไม่มันเยิ้ม และจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสิวต่างๆ ทั้งสิวเสี้ยนหรือสิวอุดตัน
จะพบน้อยกว่าผิวประเภทอื่นๆ แต่ข้อเสียที่สำคัญที่สุดของผิวแห้งนั้นก็คือ มักจะเกิดริ้วรอยก่อนวัย รอยเหี่ยวย่นได้ง่าย โดยเฉพาะผิวบริเวณที่บอบบางอย่างเช่นผิวรอบ
ดวงตา ดังนั้นการเติมเต็มความชุ่มชื่นให้ผิวอย่างสม่ำเสมอเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำมันและความชุ่มชื่นตามธรรมชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการดูแลรักษาผิวประเภทนี้
2. ผิวมัน (Oily Skin)
ผิวมันเป็นผิวที่มีลักษณะมันวาว จากการที่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันตามธรรมชาติออกมาหล่อเลี้ยงผิวในปริมาณที่มากจนเกินไป ผิวมันจึงมีสารคัดหลั่งที่เป็นไขมันจำนวนมาก
ส่งผลให้ผิวเงา มันวาว โดยปกติผิวมันมักเกิดขึ้นมากในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายกำลังมีการเปลี่ยนแปลง และฮอร์โมนนี้เองเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นการทำงาน
ของต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมภายนอก สภาพอากาศ ทั้งความร้อน และความชื้น รวมทั้งความเครียดทางอารมณ์ก็ส่งผลทำให้ผิวมีความมัน
ส่วนเกินได้เช่นกัน
สำหรับผู้ที่มีผิวมันจะมีรูขุมขนกว้างสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
- ผิวจะมีลักษณะดูหนา ค่อนข้างหยาบ และดูไม่เรียบเนียน
- มองไม่เห็นเส้นเลือดบนผิวอย่างชัดเจนนัก จนบางครั้งอาจทำให้แลดูหมองคล้ำ
- และจะมีแนวโน้มเป็นสิวอุดตันและสิว ประเภทอื่นๆ ได้ง่ายอีกด้วย
แต่ข้อดีของผู้ที่มีผิวมันนั้นก็คือ จะไม่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยก่อนวัย ไม่มีปัญหาเรื่องรอยเหี่ยวย่นต่างๆ เหมือนผู้ที่มีผิวแห้ง
เนื่องจากผิวมันมีการผลิตน้ำมันออกมาทางรูขุมขนในปริมาณที่มากเกินไป ดังนั้นสิ่งสำคัญในการดูแลผิวประเภทนี้จึงเป็นการทำความสะอาดที่ล้ำลึกหมดจดแต่อ่อนโยนกับผิว
และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมความมันของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
3. ผิวผสม (Combination Skin)
ผิวผสมเป็นผิวที่มีลักษณะผสมกันระหว่างผิวสองประเภท ซึ่งอาจจะเป็นผิวมันผสมผิวธรรมดา หรือผิวแห้งผสมผิวธรรมดา หรือ ผิวแห้งผสมผิวมัน โดยลักษณะ ผิวผสมจะมี
คุณสมบัติของผิวสองประเภทนี้อยู่ด้วยกัน กล่าวคือผู้ที่มีผิวผสมจะมี
- ความมันเฉพาะบริเวณที่เป็น T-zone ได้แก่ บริเวณหน้าผาก จมูก และคาง
- มีรูขุมขนกว้างในบริเวณนี้ จนอาจมีสิ่งสกปรกอุดตันในรูขุมขนได้
- ส่วนบริเวณแก้มทั้งสองข้างจะมีลักษณะแบบผิวธรรมดาหรือผิวแห้ง
ผิวผสมเกิดจากการที่บริเวณทีโซน T-zone ที่มีผิวมันของผิวผสม เกิดการผลิตน้ำมันที่มากเกินไป เพราะต่อมไขมันบริเวณนี้จะมีขนาดใหญ่และทำงานมากกว่าบริเวณอื่น
ทำให้มีปัญหาเรื่องสิวได้ง่าย ส่วนบริเวณข้างแก้มและโหนกแก้มที่มีผิวแห้งเกิดจากการขาดน้ำมัน และสมดุลไขมันผิดปกติ ทำให้เกิดปัญหาผิวแห้งกร้าน ลอกเป็นขุย
สังเกตได้ชัดตอนหลังล้างหน้าบริเวณแก้มทั้งสองข้างจะแห้งตึง
ดังนั้นการดูแลผิวผสมจึงจำเป็นต้องดูแลด้วยวิธีผสมผสาน เพราะลักษณะผิวในแต่ละบริเวณ ต่างก็ต้องการการดูแลอย่างเฉพาะเจาะจง โดยใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวมันบริเวณ
T-zone ส่วนบริเวณอื่นใช้วิธีดูแลสำหรับผิวธรรมดาหรือผิวแห้ง รวมทั้งควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปรับสมดุลของผิวทั้งสองบริเวณให้ใกล้เคียงกันอีกด้วย
4. ผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin)
ผิวแพ้ง่ายเป็นผิวที่มีลักษณะระคายเคืองง่ายและบอบบางมากๆ อ่อนไหวง่ายกับสิ่งต่างๆที่สัมผัสผิวหน้า เช่น ฝุ่นควัน แสงแดด กระดาษทิชชู่ เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิวต่างๆ
ผิวประเภทนี้จะมีปัญหาแพ้ง่าย ผิวมีสีแดง มีโอกาสระคายเคืองต่อผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้กับผิวหน้า มักเกิดอาการผิวแห้งลอก ผิวหน้าตึง ผิวหน้าเป็นผื่นแดง แสบคัน อักเสบได้ง่าย
สำหรับปัญหาผิวบอบบางแพ้ง่ายนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีวิธีการแก้ไขหรือรักษาผิวแพ้ง่ายให้หายขาด แต่ก็มีวิธีที่จะควบคุมและจัดการกับอาการต่างๆของผิวแพ้ง่ายได้ ถ้าหากเข้าใจสาเหตุ
ของปัญหาว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และอะไรเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ ก็จะช่วยให้เราสามารถควบคุมอาการผิวแพ้ง่ายได้ดียิ่งขึ้น
วิธีสังเกตผิวประเภทนี้ดูได้จากลักษณะเด่นชัดของ
- การอักเสบได้ง่ายของผิว
- ผิวจะเกิดอาการเป็นผื่นแดง คัน แสบร้อน ไปจนถึงผิวแห้งแตก
ซึ่งอาการผิวแพ้ง่ายเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุ เพราะเกิดจากเกราะปกป้องผิวอ่อนแอ ทำให้ผิวเกิดอาการระคายเคืองได้ง่ายมักจะเกิดขึ้นหลังจาก
การสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นให้เกิดการแพ้ อย่างเช่น สัมผัสสารประกอบต่างๆ ในยาบางชนิด สารเคมีในเครื่องสำอาง หรือองค์ประกอบบางชนิดในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
ดังนั้น ผู้ที่มีแนวโน้มมีผิวบอบบางแพ้ง่ายจึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นเหล่านี้ไม่ให้สัมผัสโดยตรงกับผิวหน้า ต้องระมัดระวังการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าเป็นพิเศษ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์
ที่ระบุชัดเจนว่าเหมาะสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย ซึ่งมักจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ปราศจากน้ำหอม และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะก่อให้
เกิดการแพ้ แต่อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายมีอาการแพ้เกิดขึ้น แนะนำว่าควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ทุกตัว จากนั้นต้องรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาอาการแพ้ที่เกิดขึ้นโดยทันที